เคล็ด(ไม่)ลับ เติมสวยด้วยฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผล?

เคล็ด(ไม่)ลับ เติมสวยด้วยฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผล?

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร

ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเรื่องอะไร

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวรอบดวงตาได้ ดังนี้

  • เติมเต็มเบ้าตาลึกให้ดูอิ่มฟูขึ้น ลดปัญหาเงาตกกระทบใต้ตาซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาให้ตาหมองคล้ำ ดูไม่กระจ่างใส 
  • ลดริ้วรอยเล็กๆ รอบดวงตา และรอยตีนกา
  • ลดปัญหาถุงใต้ตา ความเหี่ยวย่น หย่อนคล้อยรอบดวงตา ช่วยให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียน อิ่มฟู 
  • ลดปัญหาใต้ตาหมองคล้ำ ที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น พักผ่อนน้อย หรือโรคภูมิแพ้ 
  • เสริมมิติให้ใบหน้าโดยรวมดูละมุนมากขึ้น หน้าดูเด็กลง โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง

  • ผู้ที่มีเบ้าตาโหล ใต้ตาลึก จากการยุบตัวของกระดูกเบ้าตา การสูญเสียไขมันและคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเมื่ออายุมากขึ้น
  • ผู้ที่มีร่องใต้ตาเด่นชัดแม้อายุยังน้อย ซึ่งเป็นปัญหาใต้ตาลึกโหลที่เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือโครงสร้างกระดูก
  • ผู้ที่มีริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยใต้ตา และรอยตีนกา ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
  • ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาดำคล้ำแม้พักผ่อนเพียงพอ เนื่องจากกระดูกใต้ตาทรุดตัวทำให้เกิดเงาตกกระทบบริเวณใต้ตา
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นความสดใสให้ใบหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่มีเวลาพักฟื้น

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ผู้ที่มีอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผลบริเวณรอบดวงตา
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร HA หรือส่วนประกอบในฟิลเลอร์ โดยต้องแจ้งข้อมูลให้แพทย์ผู้ดูแลทราบอย่างละเอียด
  • หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในระยะให้นมบุตร แม้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าฟิลเลอร์มีผลต่อทารก แต่เพื่อความปลอดภัยควรงดเว้นการฉีดฟิลเลอร์ในช่วงนี้ 
  • ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกง่าย หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคที่ต้องใช้ยากดภูมิ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองต่อสารแปลกปลอมมากกว่าปกติ เพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบ ติดเชื้อ
  • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง เช่น ต้องการปรับเปลี่ยนรูปตา ยกเปลือกตา ลดความหมองคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีผิดปกติ (hyperpigmentation) ซึ่งฟิลเลอร์อาจไม่สามารถแก้ไขได้ทุกกรณี

ฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องใช้กี่ cc

โดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ฟิลเลอร์ข้างละ 1-2 cc ก็สามารถเติมเต็มร่องลึก ลดปัญหาความหมองคล้ำ และช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูอิ่มฟูมากขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่หากในกรณีที่มีปัญหาไม่มาก หรือเติมฟิลเลอร์ในผิวชั้นตื้น แพทย์อาจพิจารณาใช้ฟิลเลอร์เริ่มต้นที่ 0.5 cc/ข้าง เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ใต้ตาไม่เป็นก้อนแข็ง 

ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่

ราคาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000-15,000 บาทต่อ 1 cc ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ เช่น Belotero, Restylane หรือ Juvederm รวมถึงประสบการณ์ของแพทย์ เทคนิคที่ใช้ในการฉีด และราคาโปรโมชั่นของแต่ละคลินิกในช่วงเวลานั้นๆ ทั้งนี้ควรเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ คลินิก และหลีกเลี่ยงคลินิกที่มีราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจมีความเสี่ยงใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือผู้ที่ฉีดไม่ใช่แพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน

ฟิลเลอร์ใต้ตา อยู่ได้นานแค่ไหน

ฟิลเลอร์ใต้ตาจะคงผลลัพธ์ได้ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ การดูแลหลังทำและปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิต การพักผ่อน และระบบเผาผลาญของแต่ละคน ทั้งนี้หากสังเกตว่าผลลัพธ์หลังฉีดลดลง ฟิลเลอร์เริ่มสลายตัว สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์และวางแผนฉีดฟิลเลอร์ซ้ำเพื่อผลลัพธ์ใต้ตาเรียบเนียน กระจ่างใสได้อย่างต่อเนื่อง

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • แก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาลึกได้ตรงจุด ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มบริเวณที่มีร่องลึก เบ้าตาลึก หรือผิวที่ยุบตัว ทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียนและอิ่มฟูมากขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
  • เห็นผลรวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • เจ็บน้อยและใช้เวลาในการฉีดไม่นาน ฟิลเลอร์รุ่นใหม่มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) และการใช้เทคนิคการฉีดร่วมกับเข็มปลายทู่ (Blunt Cannula) ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลง และใช้เวลาในการฉีดฟิลเลอร์เพียง 15-30 นาที
  • สามารถวางแผนฉีดฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับรูปหน้าและความต้องการเฉพาะบุคคล สร้างผลลัพธ์ที่ดูสวยเป็นธรรมชาติ 
  • ฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (HA) สลายตัวได้เองตามธรรมชาติ และสามารถฉีดสลายได้ตามความต้องการ โดยไม่ตกค้างสะสมในร่างกาย

ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายหรือไม่

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานับเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงน้อย หากดำเนินการอย่างถูกต้องโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง และใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย ทั้งนี้ฟิลเลอร์ที่ใช้ในคลินิกเสริมความงามที่มีมาตรฐานจะเป็นฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (HA) ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญ คือสามารถสลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ 100% ไม่ตกค้าง และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจทำให้เกิดความเสี่ยงบางประการ หากฉีดกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือแพทย์ขาดความชำนาญ เช่น

  • วางฟิลเลอร์ผิดชั้นผิว ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาจับตัวเป็นก้อนแข็ง หน้าดูแปลก
  • ฟิลเลอร์อุดตันในเส้นเลือด โดยเฉพาะเส้นเลือดแดงบริเวณรอบดวงตา จนทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด หรืออาจทำให้ตาบอดหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
  • ฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นสารเหลวอื่นๆ ที่ไม่ปลอดภัย อาจทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง หรืออาการแพ้อย่างรุนแรง โดยสารเหล่านี้ไม่สามารถสลายตัวได้เอง และจำเป็นต้องผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น
ดูวิดีโอเพิ่มเติม

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • งดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), วิตามินอี, น้ำมันปลา, โสม, กระเทียม หรือสารสกัดที่มีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกไม่หยุดหลังฉีดฟิลเลอร์ 
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับบริการ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้หลอดเลือดขยายตัว และเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการบวมช้ำหลังฉีดฟิลเลอร์
  • พักผ่อนให้เพียงพอก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงของอาการบวมหรือฟกช้ำหลังฉีด
  • ควรงดแต่งหน้าในวันที่เข้ารับบริการ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่บริเวณใต้ตาและรอบดวงตาในวันฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินสภาพผิวได้อย่างชัดเจน และป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ
  • วางแผนเวลาอย่างเหมาะสม เนื่องจากหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในช่วง 1-2 วันแรกควรงดแต่งหน้าหนัก หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด การอบไอน้ำ ซาวน่า การออกกำลังกายหนักๆ ในช่วง 7 วันแรก และงดหัตถการเลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึก อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์  เพื่อป้องกันอาการอักเสบ บวมแดง และลดความเสี่ยงที่ฟิลเลอร์จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

สรุป